รูปแบบการเล่นจะถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่มในรอบแรก กลุ่มละ 6 ทีม แต่สโมสรจาก สปป.ลาว, กัมพูชา, บรูไน และเมียนมา ที่ได้ตัวแทนมาชาติละหนึ่งทีม จะต้องไปเล่นรอบเพลย์เพื่อหา 2 ทีมเข้ามาเล่นรอบแบ่งกลุ่ม 

ส่วนประเทศที่เหลือคือ ไทย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เวียดนาม จะได้โควตาชาติละ 2 ทีม ที่จะได้อยู่กันคนละกลุ่ม และสิงคโปร์ กับฟิลิปปินส์ จะได้โควตาชาติละ 1 ทีม แต่ไม่ต้องไปเล่นเพลย์ออฟเหมือน 4 ชาติก่อนหน้านี้ 

ความกังวลของสโมสรส่วนใหญ่ของ AFF ประกาศรายการนี้ขึ้นมาคือความทับซ้อนของโปรแกรม พร้อมสโมสรระดับท็อปของลีกส่วนใหญ่ จะมีถ้วยระดับทวีปอย่าง เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือเอเอฟซี คัพ ให้ไปเล่นอยู่แล้ว การเติมทัวร์นาเมนต์ ระดับภูมิภาคเพิ่มเข้ามาจะทำให้โปรแกรมแน่นยิ่งขึ้น 

ลองนึกภาพ ทีมอย่าง ลิเวอร์พูล, แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ต้องแข่งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แล้ว ยังต้องส่งทีมในรายการชิงแชมป์สหราชอาณาจักร (รายการสมมุติ) ที่อาจจะไปเจอสโมสรจากเวลล์ หรือไอร์แลนด์ แน่นอนย่อมไปสู้รายการใหญ่ไม่ได้แล้ว 

นอกจากนี้ทาง AFF ยังเลือกรูปแบบการแข่งเป็นการแบ่งกลุ่มที่ทุกทีมเจอกันหมด แต่ไม่ได้เล่นเหย้า-เยือน ทำให้อย่างน้อยๆ จะมีโปรแกรมเพิ่มขึ้นมา 5 นัด รวมถึงการเดินทางเพิ่มขึ้นไปอีก ส่วนการไปถึงแชมป์ก็เท่ากับมีเกมเพิ่มขึ้นมาอีก 7 นัด 

ในฤดูกาลนี้ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เจอโปรแกรมอันหนักหน่วง ต้องลงเล่นทั้งหมด 46 นัดในหนึ่งฤดูกาล จนส่งผลให้ช่วงท้ายฟอร์มเริ่มตก นักเตะเริ่มกรอบ และพลาดการลุ้นแชมป์ลีกไปในช่วงท้าย และสมมุติว่าต้องเพิ่มไปอีก 7 นัด ในศึก Shopee Cup นักเตะในทีมจะมีสภาพเป็นอย่างไร 

ดังนั้นทาง AFF จึงล่อด้วยเงินรางวัลมหาศาล สำหรับผู้ชนะจะได้เงินไปถึง 5 แสนเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 18.4 ล้านบาท ซึ่งแชมป์ ไทยลีก ได้เงินรางวัลเพียง 10 ล้านบาท เท่านั้น

บีจี ปทุม ยูไนเต็ด กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็น 2 ทีมตัวแทนที่จะไปแข่งในรายการนี้ ซึ่งทั้งคู่จะต้องรับมือกับโปรแกรมอันชุกชุมแน่ๆ แต่อาจจะถือว่าเป็นโชคดี เพราะทั้งสองทีมมีผู้เล่นอยู่ในมือค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะดาวรุ่งที่นั่งรอโอกาสข้างสนาม 

ทำให้ ‘Shopee Cup’ อาจจะเป็นทัวร์นาเมนต์อันนี้สำหรับทดสอบฝีเท้า และเป็นโอกาสในการลงสนามให้กับดาวรุ่งไทย ก็เป็นได้ 

เขียนโดย The Lite Team.

LS Sport ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชม.